แล้วเบียร์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?
เบียร์แต่ละประเภทนั้นจะใช้วัตถุดิบหลักในการหมักเหมือนกันคือ
- ยีสต์ (Yeast) – วัฤดิบสำคัญสำหรับการหมักเบียร์เลย ยี่สต์จะทำให้เกิดแอลกอฮอล์และก๊ซ
คาร์บอนไดอ็อกไซด์ โดยยีสต์ที่ใช้จะมี 2 ประเภทหลัก ๆ คือ Top Ferment (ยีสต์ที่จะลอยตัวอยู่ที่
ผิวหน้ำของเบียร์ การหมักเบียร์ด้วยวิธีนี้จะปันวิธีทำเบียร์ประเภท) และ Bottom Ferment (ยีสด์ที่จะ
จมอยู่ที่ก้นภาชนะเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการหมัก) - มอลต์ (Malt) – เมล็ดธัญพืชที่นำมาหมักเยร์ แต่ละเจ้าก็จะใช้คนละชนิด ซึ่งมีผลต่อสีและรสชาติ
ของเบียร์ - ฮ็อปส์ (Hops) – ดอก อปส์เป็นพืชที่ให้กลิ่นหอมและมีรสขม ช่วยเพิ่มอายุการเก็บเบียร์ได้
- น้ำ (Water) – 95% ของเบียร์คือน้ำ
และสิ่งที่ทำให้เบียร์ถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทนั้นมาจากชนิดของวัตถุดิบ และปริมาณที่ใช่ในการหมัก นี่เอง โดยเฉพาะยีสต์ ซึ่งถ้าเราแบ่งประเภทของเบียร์ตามยีสต์ที่ใช้หมัก จะแบ่งออกมาได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. Lager Beer (เบียร์ลาเกอร์)
เริ่มที่เบียร์ที่คนไทยคุ้นเคยกันดีก่อนเลย เพราะเบียร์ที่แช่อยู่ในตู้ตามร้านสะดวกซื้อ หรือเบียร์ที่มีเสิร์ฟตาม ร้านอาหาร ส่วนใหญ่จะเบียร์ลาเกอร์ทั้งนั้น
Lager Beer (เบียร์ลาเกอร์) เป็นเบียร์ที่ผ่านการหมักแบบสต์จมอยู่ที่กันภาชนะ เมื่อหมักเสร็จเรียบร้อย ยีสต์จะจมอยู่ที่ด้านล่างของเบียร์ หรือที่เรียกว่า Bottom-Fermenting Yeast ครับ โดยจะใช้อุณหภูมิในการหมักอยู่ที่ 7-12 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ค่อนข้างต่ำ และถ้าจะดื่มก็ต้องรอนานกันหน่อยนะ เพราะเบียร์ลาเกอร์จะใช้เวลาหมักนานถึง 2 – 3 เดือนเลยทีเดียว
เบียร์ลาเกอร์จะเป็นยร์ที่มีปริมาณแอลกอฮอลล์ไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ทำให้มง่าย ถ้าถามถึงรสชาติจะมีความซ่าส์ สดชื่น สสัมผัสดูนุ่มนวลและไม่ซับซ้อน สีของเบียร์ลาเกอร์จะออกไปทางสีใส ส่วนใหญ่แล้วจะมีสีอ่อน ที่สำคัญคือเบียร์ลากอร์สามารถเก็บไว้ได้นาน และมีราคาที่ถูกครับ
เบียร์ลาเกอร์ ยังสามารถแยกประเภทย่อย ๆ ออกมาได้กด้วย ไม่ว่าจะเป็น
Pale Lager (เพลลาเกอร์)
เบียร์ที่ถูกคอนักดื่มทั่วโลกและมีการผลิตมากที่สุดคือเบียร์ Pale Lagers มีรสชาติกลาง ๆ แต่ดื่มแล้วสดชื่น ภายนอกจะดูป็นเบียร์สีสว่างออกซีด และมีแอลกอฮฮล์สูง
Bock (บ็อค)
เบียร์ที่มีแอลกอฮอล์มากที่สุดในบรรดา Lager คือเจ้านี่ สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือสีที่ข้มและรสชาติที่เข้มกว่าเบียร์ลาเกอร์แบบอื่นๆตัวอย่างเบียร์ลาเกอร์
- SINGHA เบียร์สิงห์
- LEO เบียร์ลีโอ
- Chang เบียร์ช้าง
- Heineken
- Budweiser
แค่เห็นชื่อยี่ห้อก็ต้องร้องอ๋อกันทุกคนเลยใช่มั้ยครับ แต่ยังมีเบียร์อีกประเภทนึงที่เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่นักดื่มมากขึ้น เพราะทุกวันนี้ไม่ใช่แค่เบียร์ลาเกอร์เท่านั้นที่สามารถหาซื้อได้ง่ายในไทย
2. Ale Beer (เบียร์เอล)
Ale Beer (เบียร์เอล) เป็นเบียร์ที่ใช้การหมักแบบยีสต์ลอยที่ผิวน้ำ หรือ Top-Fermenting Yeast ยีสต์มันจะทำงานที่ด้านบนของเบียร์ หรือพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ มันจะลอยตัวอยู่บนผิวน้ำเมื่อหมักเสร็จแล้วนั่นแหละครับ โดยการทำเบียร์เอลจะใช้อุณหภูมิ 18- 24 องศาเซลเซียส และใช้เวลาในการหมักเบียร์ประมาณ 3 – 4 สัปดาห์เท่านั้น
ความแตกต่างอีกอย่างก็คือ เรื่องรสชาติและรสสัมผัสนั่นเองครับ
เบียร์เอลก็จะมีรสแรงกว่าเบียร์ลาเกอร์ จะออกไปทางขมแต่หวานหน่อย ๆ แต่มีปริมาณแอลกอฮอลล์ที่สูงของเบียร์จะออกขุ่นๆ ระดับสีมีตั้งแต่สีทองสว่าง ไปจนถึงสีน้ำตาลโทนเข้ม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสีเข้ม รสชาติหลากหลายแต่เวลาดื่มจะรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาและรสชาติซับซ้อนในส้มผัส ซึ่งทั้งหมดนี้จะด่างกันไปตามเมล็ดข้าวที่นำมาหมักครับ
ซึ่งเบียร์เอลก็จะแยกประเภทเล็ก ๆ ได้อีก ผมขอยกตัวอย่างสักสองแล้วกัน
Wheat Beer (วีทเบียร์)
หลายคนอาจจะเรียกว่า White beer ก็ได้ครับ มีส่วนประกอบของข้าวสาลี เอกลักษณ์ของเบียร์ที่ทำมาจากข้าวสาลีจึงมีความหวาน ขุ่น ขมุกขมัว รสนุ่มนวล จะออกสีทองสว่าง รสส้มผัสที่สดชื่น
Pale Ale (เพลเอล)
ส่วนประกอบหลักของเบียร์เพลเอลคือข้าวบาเลย์ และให้สสัมผัสของ Malt และ Hops ทำให้มีรสชาติหนัก ซับซ้อน ขมนิดหน่อยและกลิ่นแรง คนอเมริกันจะชอบมาก
ตัวอย่างเบียร์เอล ก็จะมี
- Hoegaarden
- Weihenstephan
- Leffe
- Golden ale
แต่ถ้าอยากจะลองหมักเบียร์เพื่อค้นหารสชาติใหม่ๆ ถูกปากถูกใจคุยโดยเฉพาะ ก็สามารถเลือกซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบสำหรับทเบียร์ที่ร้านของเราได้ เราเชี่ยวชาญ และพร้อมให้คำปรึกษาเสมอครับ